สารบัญ
- มาทำความรู้จักกับ แครอท กัน
- สรรพคุณของแครอท
- ประโยชน์ของแครอท มีอะไรบ้าง?
- วิธีรับประทาน และทำความสะอาดแครอท
“แครอท” เป็นพืชในตระกูลผักชี ที่มีหัวอยู่ใต้ดิน มีสีสันหลากหลายทั้งส้ม แดง เหลือง ขาว และม่วง สามารถรับประทานได้ทั้งส่วนหัวที่อยู่ใต้ดิน และใบ แต่ส่วนหัว จะเป็นที่นิยมนำมาใช้รับประทานเป็นอาหารได้หลากหลายรูปแบบ ทั้งแบบดิบ คั้นน้ำ ผ่านการปรุงสุก หรือใช้ปรุงเป็นขนม รวมถึงอาจใช้เป็นยาก็ได้เช่นกัน
Bread at HÖME
ขนมปัง , โดนัท , ขนมเค้ก , ของทางเล่น , พิซซ่าโฮมเมด
มาทำความรู้จักกับ แครอท กัน
แครอท (Carrot) เป็นไม้ล้มลุก อายุ 1-2 ปี หัวเป็นสีส้ม และมีสารแคโรทีนอยู่เป็นจำนวนมาก รากยาวเรียว ใบมีลักษณะเป็นฝอย แครอทเป็นพืชกินหัวชนิดหนึ่ง มีลักษณะยาว หัวแครอทมีหลายสี เช่น เหลือง ม่วง ส้ม แต่ที่นิยมรับประทานในปัจจุบัน คือ สีส้ม เป็นพืชแถบเอเชียตะวันออก และเอเชียกลาง มีหลายขนาด ตั้งแต่ขนาดเล็กเท่าแท่งดินสอ หรือที่เรียกว่า เบบี้แครอท ไปจนถึง ขนาดใหญ่
แครอท เป็นพืชสองฤดู โดยฤดูแรก เจริญทางต้น ใบ และราก ฤดูที่สอง จะเจริญทางดอก และเมล็ด ลักษณะลำต้นเป็นแผ่นใบ จะเจริญจากลำต้น เป็นกลุ่มมีก้านใบยาว ประกอบด้วย เปลือกบาง (Periderm) และส่วนของเนื้อ (Cortex) ซึ่งประกอบด้วย ท่ออาหาร และเป็นแหล่งเก็บอาหารสำรอง ส่วนใหญ่อยู่ในรูปของน้ำตาล เป็นส่วนประกอบ 45-65% ของหัว เนื้อสีขาว เหลือง ส้ม แดง ม่วง และดำ
ส่วนของแกน (inner core) ประกอบด้วย ท่อน้ำ (xylem) และแกน (pith) แครอทสายพันธุ์ที่มีคุณภาพสูง จะมีแกนขนาดเล็ก และมีสีเดียว กับเนื้อ หรือมีส่วนของเนื้อมากกว่าส่วนของแกน การปลูกฤดูที่สอง เพื่อผลผลิตเมล็ดพันธุ์ ลำต้นจะยืดตัว สร้างก้านดอกยาว 2-4 ฟุต บนยอดมีช่อดอก ซึ่งช่อแรก จะเจริญจากส่วนกลางของลำต้น ต่อจากนั้นช่ออื่น ๆ จะเจริญตาม การผสมเกสร จะเป็นแบบผสมข้าม ส่วนใหญ่แมลงเป็นตัวช่วยผสมเกสร
อ่านเพิ่มเติมที่นี่ : สปันจ์เค้ก (sponge cake)
เค้กโฮมเมดของ Bread at HÖME นั้น ใช้ เมล็ดวนิลาแท้ ทุกชิ้น
สรรพคุณของแครอท
- ช่วยบำรุงสุขภาพผิวให้สดใสเปล่งปลั่ง
- ช่วยป้องกันเซลล์ผิวไม่ให้ถูกทำลายได้ง่ายจากมลภาวะแสงแดดต่าง ๆ
- ช่วยเสริมสร้างการเจริญเติบโตของร่างกาย
- ช่วยบำรุงกระดูก ฟัน เหงือก เล็บ ให้แข็งแรงยิ่งขึ้น
- มีสารต่อต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งมีส่วนช่วยในการชะลอวัยและการเกิดริ้วรอยแห่งวัย
- ช่วยสร้างสร้างภูมิต้านทานโรคของร่างกายให้แข็งแรงยิ่งขึ้น
- ช่วยยับยั้งต่อต้านการเกิดโรคมะเร็ง
- ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในร่างกาย
- ช่วยรักษาโรคความดันโลหิตสูง
- ช่วยรักษาระดับน้ำตาลในเลือด
- ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในระบบไหลเวียนของเลือด
- ช่วยบำรุงเซลล์ผิวหนัง
- ช่วยบำรุงเส้นผม
- ช่วยลดอัตราการเกิดโรคหลอดเลือดสมอง อัมพฤษ์ อัมพาต
- ช่วยลดความเสี่ยงจากการเกิดโรคหัวใจและภาวะหัวใจล้มเหลว
- ช่วยบำรุงและรักษาสายตา รักษาโรคตาฟาง และต้อกระจก
- ช่วยรักษาโรคถุงลมโป่งพองและไทยรอยด์เป็นพิษ
- ช่วยย่อยอาหาร และช่วยแก้และบรรเทาท้องผูก
- แครอทมีสรรพคุณใช้เป็นยาขับปัสสาวะ
- ใช้เป็นยาถ่ายพยาธิไส้เดือน
- ช่วยรักษาฝี แผลเน่าต่าง ๆ
ประโยชน์ของแครอท มีอะไรบ้าง?
- บำรุงสายตา ประโยชน์ของแครอท อุดมไปด้วยสารเบต้าแคโรทีน หนึ่งในวิตามินที่ร่างกายต้องการ อีกทั้งมีประโยชน์ที่ช่วยในเรื่องของการบำรุงสายตา โดยเฉพาะเนื้อเยื่อชั้นในของดวงตา หรือที่เรียกกันโดยทั่วไปว่า เรติน่า ซึ่งการที่คุณรับประทานแครอทบ่อย ๆ ยังช่วยถนอมดวงตา ให้สามารถมองเห็นได้อย่างปกติไปอีกนานเท่านาน
- ป้องกันมะเร็ง แครอทนั้นมีประสิทธิภาพในการช่วยป้องกันโรคมะเร็งโดยเฉพาะการก่อตัวของมะเร็งปอด ทั้งนี้ เป็นเพราะในแครอทเต็มไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ อย่าง ฟาลคารินอล ซึ่งมีฤทธิ์ต้านมะเร็งได้เป็นอย่างดี ฉะนั้น ควรใส่แครอทเป็นส่วนผสมในอาหารจากหลักด้วย
- เพิ่มประสิทธิภาพให้กับระบบไหลเวียนของเลือด คนในปัจจุบัน ไม่ค่อยใส่ใจกับการทานอาหารสักเท่าไหร่ ทำให้เกิดโรคเส้นเลือดอุดตันได้ง่าย โดยเฉพาะผู้ที่ชอบทานของหวาน และของทอด ทั้งนี้สารในแครอท จะเข้าไปกำจัดไขมันที่เกาะสะสมอยู่ในเส้นเลือด ซึ่งช่วยให้เลือดไหลเวียนได้ดีขึ้น
- รักษาระดับน้ำตาลในเส้นเลือด ไม่ว่าคุณจะอยู่ในช่วงอายุเท่าไหร่ และมีรูปร่างแบบใด ก็มีสิทธิ์ที่จะมีระดับน้ำตาลในเลือดสูงได้เหมือนกัน ซึ่งเป็นการเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นโรคเบาหวานมากเลยทีเดียว ดังนั้น เพื่อป้องกันโรคร้ายต่าง ๆ เหล่านั้น ก็ควรหมั่นทานแครอทอยู่เป็นประจำ เนื่องจากในแครอท มีสารแคโรทีนอยด์ ซึ่งสารตัวนี้ จะเข้าไปช่วยรักษาสมดุลระดับน้ำตาลในเส้นเลือดของคุณนั่นเอง
- ปรับปรุงระบบย่อยอาหาร สำหรับคนที่อยากจะมีหุ่นดี หรือคนที่อยากจะลดน้ำหนัก การทานแครอท ถือเป็นตัวช่วยที่ดี เพราะแครอท จะเข้าไปเสริมสร้างประสิทธิภาพการทำงานให้กับระบบย่อยอาหาร ซึ่งช่วยให้ร่างกายเผาผลาญพลังงานได้มากขึ้น
- บำรุงผิวให้เปล่งปลั่ง แครอทยังมีสรรพคุณในเรื่องของการช่วยบำรุงผิวพรรณอีกด้วย เพราะทำให้ผิวชุ่มชื่น และดูเปล่งปลั่งอยู่เสมอ เพราะในแครอทชุ่มช่ำไปด้วยน้ำ เมื่อคุณทานเข้าไปก็เท่ากับว่าร่างกายได้รับน้ำเพิ่มมากขึ้นด้วย ไม่เพียงเท่านั้น น้ำและสารอาหารของแครอทยังมีประโยชน์ในเรื่องของการบำรุงเส้นผมด้วย
- เสริมความแข็งแรงของฟัน แครอทไม่ได้มีประโยชน์แค่ระบบต่าง ๆ ในร่างกายของคุณเท่านั้น เพราะยังช่วยเสริมสร้างโครงสร้างของอวัยวะต่าง ๆ ได้อีกด้วย โดยในระหว่างที่คุณกำลังกัด ขบ เคี้ยวแครอท ถือเป็นการเสริมสร้างสุขภาพฟันให้ดีขึ้นด้วย ฉะนั้นในแต่ละมื้ออย่าลืมหยิบแครอทมาเคี้ยวกันด้วย
- เพิ่มประสิทธิภาพให้กับภูมิคุ้มกัน อีกหนึ่ง ประโยชน์ของแครอท ที่ร่างกายของคุณจะได้รับจากแครอท คือ การมีภุมิคุ้มกันร่างกายที่แข็งแรง ทั้งนี้เป็นเพราะแครอทมีฤทธิ์ในการฆ่าเชื้อแบคทีเรีย อีกทั้งมีคุณสมบัติในการสร้างเนื้อเยื่อ ทำให้แผลหายเป็นปกติรวดเร็วมากขึ้น ไม่ว่าจะกินแครอทแบบดิบ ๆ หรือผ่านการปรุงสุกมาแล้วก็ตาม
- มีฤทธิ์ขับพยาธิ สำหรับคนที่ต้องการขับพยาธิ ยาถ่ายอาจไม่ใช่คำตอบสุดท้ายเสมอไป เพราะแครอทมีฤทธิ์ช่วยในการขับถ่ายพยาธิได้เช่นเดียวกัน อีกทั้งยังเป็นการรักษาที่ไม่มีสารเคมีตกค้างในร่างกายด้วย รับรองเลยว่าเป็นยาที่ปลอดภัยทั้งเด็กและผู้ใหญ่
- ของว่างเพื่อสุขภาพ นอกจากนำไปประกอบอาหารคาวแล้ว สามารถนำมาทำขนมได้เหมือนกัน เช่น ขนมปังโฮลวีทแครอท หรือดื่มน้ำแครอท สามารถช่วยดับหิว และดับกระหายได้ไม่ต่างจากขนมหวาน และเครื่องดื่มชนิดอื่น ๆ เลย
คุณค่าทางโภชนาการของแครอท ต่อ 100 กรัม
- พลังงาน 41 กิโลแคลอรี
- คาร์โบไฮเดรต 9.6 กรัม
- น้ำตาล 4.7 กรัม
- เส้นใย 2.8 กรัม
- ไขมัน 0.24 กรัม
- โปรตีน 0.93 กรัม
- วิตามินเอ 835 ไมโครกรัม 104%
- เบตาแคโรทีน 8,285 ไมโครกรัม 77%
- ลูทีนและซีแซนทีน 256 ไมโครกรัม
- วิตามินบี 1 0.066 มิลลิกรัม 6%
- วิตามินบี 2 0.058 มิลลิกรัม 5%
- วิตามินบี 3 0.983 มิลลิกรัม 7%
- วิตามินบี 5 0.273 มิลลิกรัม 5%
- วิตามินบี 6 0.138 มิลลิกรัม 11%
- วิตามินบี 9 19 ไมโครกรัม 5%
- วิตามินซี 5.9 มิลลิกรัม 7%
- วิตามินอี 0.66 มิลลิกรัม 4%
- ธาตุแคลเซียม 33 มิลลิกรัม 3%
- ธาตุเหล็ก 0.3 มิลลิกรัม 2%
- ธาตุแมกนีเซียม 12 มิลลิกรัม 3%
- ธาตุแมงกานีส 0.143 มิลลิกรัม 7%
- ธาตุฟอสฟอรัส 35 มิลลิกรัม 5%
- ธาตุโพแทสเซียม 320 มิลลิกรัม 7%
- ธาตุโซเดียม 69 มิลลิกรัม 5%
- ธาตุสังกะสี 0.24 มิลลิกรัม 3%
- ธาตุฟลูออไรด์ 3.2 ไมโครกรัม %
ร้อยละของปริมาณแนะนำที่ร่างกายต้องการในแต่ละวันสำหรับผู้ใหญ่ (ข้อมูลจาก : USDA Nutrient database)
วิธีรับประทาน และทำความสะอาดแครอท
แครอทสามารถรับประทานดิบ หรือปรุงสุกได้ แต่อาจเป็นข้อยกเว้นในบางคนที่มีอาการภูมิแพ้ อาจต้องปรุงสุกก่อนรับประประทาน ซึ่งเบต้าแคโรทีนในแครอท อาจดูดซึมได้ดีในแครอทปรุงสุก ควรรับประทานแครอทสด หรือแครอทนึ่ง เพราะให้คุณค่าทางอาหารสูง หลีกเลี่ยงการต้มเพราะอาจลด หรือสูญเสียวิตามินหรือแร่ธาตุอื่น ๆ
ข้อควรระวังในการทานแครอท
ความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น เมื่อรับประทานแครอท มีดังนี้
- หากรับประทานแครอทที่มีเบต้าแคโรทีนมากเกินไป อาจทำให้เกิดภาวะผิวสีส้ม หรือสีเหลือง (Carotenemia) ซึ่งไม่เป็นอันตราย แต่ในกรณีที่มีอาการรุนแรงมาก อาจยับยั้งการทำงานของวิตามินเอ ส่งผลต่อการมองเห็น กระดูก ผิวหนัง ระบบเผาผลาญ และระบบภูมิคุ้มกันได้
- เมื่อรับประทานแครอท บางคนอาจเกิดอาการภูมิแพ้ในช่องปาก อาจมีอาการคันปาก เนื่องจาก ร่างกายทำปฏิกิริยากับโปรตีนในผัก และผลไม้บางชนิด จึงควรรับประทานแครอทที่ปรุงสุกแล้ว ซึ่งอาจช่วยลดอาการภูมิแพ้ได้
- แครอทที่ปลูกในดินที่ปนเปื้อนสารเคมี สารตะกั่ว หรือโลหะหนักจำนวนมาก อาจส่งผลต่อคุณภาพของแครอท และความปลอดภัยต่อสุขภาพของผู้บริโภค อาจมีผลต่อเซลล์ไขกระดูก ระบบประสาท และการทำงานของไต อาจทำให้มีอาการ เบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน ท้องผูก น้ำหนักลด นอกจากนี้ อาจส่งผลต่อเม็ดเลือดแดง เสี่ยงต่อโรคโลหิตจาง ดังนั้น จึงควรเลือกซื้อแครอทจากแหล่งเพาะปลูกที่ปลอดภัย และล้างให้สะอาด หรือปรุงให้สุกก่อนรับประทานเสม
เทคนิคการล้างผัก ทำได้อย่างไร?
การล้างผัก เพื่อขจัดสารปนเปื้อน สามารถทำได้หลายวิธี ดังนี้
- การแช่ผักด้วยโซเดียมไบคาร์บอเนต หรือผงฟู 1 ช้อนโต๊ะ ผสมน้ำอุ่น 20 ลิตร ประมาณ 15 นาที อาจช่วยลดสารพิษที่ตกค้างได้ประมาณ 90%
- การแช่ผักด้วยผงถ่านแอคติเวตชาร์โคล (Activated Charcoal) หรือผงคาร์บอนกัมมันต์ ประมาณ 1 ช้อนชา ต่อน้ำ 5 ลิตร แช่ทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที ล้างออกด้วยน้ำสะอาด อาจช่วยดูดซับสารเคมี สี และกลิ่น ได้ประมาณ 90%
- การแช่ผักในน้ำส้มสายชู 1 ช้อนโต๊ะ ผสมน้ำเปล่า 20 ลิตร ประมาณ 30-45 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด อาจช่วยลดปริมาณสารพิษได้ประมาณ 80%
- การล้างผักให้น้ำไหลผ่าน และใช้มือล้างผักประมาณ 2 นาที อาจช่วยลดสารพิษได้ถึง 60%
- การแช่ผัก และผลไม้ในด่างทับทิมประมาณ 20-30 เกล็ด อาจช่วยลดสารพิษได้ประมาณ 40%
- การล้างด้วยน้ำสะอาด และน้ำยาล้างผัก อาจช่วยลดสารพิษได้ประมาณ 25%
วิธีทำน้ําแครอท
- อันดับแรกให้เตรียมวัตถุดิบดังนี้ แครอท 1 ผล / น้ำเชื่อม 1 ถ้วย / เกลือ 2 ช้อนชา / น้ำมะนาว 2 ช้อนโต๊ะ / และน้ำต้มสุก 4 ถ้วย
- นำแครอทมาล้างน้ำให้สะอาด แล้วปอกเปลือกออก หั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ
- จากนั้นนำแครอทที่ได้ใส่โถปั่น แล้วตามด้วยน้ำเชื่อม น้ำต้มสุก น้ำมะนาว และเกลือ
- ปั่นจนเนื้อละเอียด เป็นอันเสร็จจะได้น้ำแครอทฝีมือเราแล้ว (จะดื่มสด ๆ หรือนำไปแช่เย็น
- หรือเติมน้ำแข็งก็ได้ตามใจชอบเลย) หรืออีกสูตรให้นำแครอทที่หั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ ครึ่งถ้วย / น้ำเชื่อม 5 ช้อนโต๊ะ / น้ำแข็งบด 1 ถ้วย นำมาปั่นรวมกันก็อร่อยใช้ได้เหมือนกัน เสร็จแล้ววิธีทำน้ำแครอท
อ่านเพิ่มเติมที่นี่ : ชิฟฟอนเค้ก (chiffon cake)
การรับประทานแครอทให้ได้คุณค่าทางอาหารอย่างสูงสุด
มีคำแนะนำว่าควรปรุงให้สุกก่อนนำมารับประทาน เนื่องจากแครอทมีผนังเซลล์ที่แข็ง การรับประทานแบบดิบ ๆ จะได้รับประโยชน์ไม่เต็มที่ เพราะร่างกายได้รับสารเบตาแคโรทีนไม่ถึง 25% การทำให้สุกก่อนนำมารับประทานจะทำให้ผนังเซลล์ที่แข็งตัวสลายออกไป ทำให้ร่างกายได้รับเบต้าแคโรทีนได้อย่างสูงสุด และมีคำแนะนำว่าควรรับประทานแครอทร่วมกับอาหารที่มีไขมัน เนื่องจากเบตาแคโรทีนละลายได้ดีในไขมัน จึงทำให้ร่างกายสามารถดูดซึมสารเบต้าแคโรทีนได้มากกว่าครึ่งจากการรับประทานปกติ (ที่มา : หนังสือชีวจิต)
แต่มีงานวิจัยล่าสุดออกมาว่าไม่ควรหั่นแครอทเป็นชิ้น ๆ ก่อนนำมาปรุงอาหาร เพราะจะทำให้สูญเสียประสิทธิภาพของสาร “ฟอลคารินอล” ซึ่งเป็นสารต้านมะเร็งที่อยู่ในแครอท
เนื่องจากการหั่นแครอทเป็นชิ้น ๆ จะไปเพิ่มพื้นที่ผิวซึ่งทำให้สารอาหารที่เราควรจะได้รับถูกกรองทิ้งลงไปรวมกับน้ำในขณะประกอบอาหาร ดังนั้นถ้าอยากให้สารอาหารครบถ้วนก็ไม่ควรนำแครอทไปหั่นก่อนการปรุงอาหาร แต่ควรนำมาหั่นหลังปรุงอาหารเสร็จแล้วจะดีกว่า
แครอทนั้นนอกจากจะมีประโยชน์ต่อร่างกาย แต่สิ่งที่ต้องระวังก็คือสารตะกั่วที่อาจจะเป็นของแถมที่คุณไม่ต้องการ เพราะถ้าแครอทที่นำมาขายนั้นเพาะปลูกใกล้แหล่งอุตสาหกรรมหรือใกล้แหล่งน้ำที่มีสารตะกั่วปนเปื้อน จะทำให้แครอทดูดซึมสารตะกั่วเข้าไปสะสมในหัวแครอทได้ การนำมารับประทานสด ๆ จึงเท่ากับว่าร่างกายได้รับสารตะกั่วเข้าไปเต็ม ๆ แต่สารตะกั่วนั้นการปลอมปนเพียงเล็กน้อยถือว่าเป็นเรื่องปกติถ้าไม่เกินค่ามาตรฐานคือ 1 มิลลิกรัมต่ออาหาร 1 กิโลกรัมถือว่ารับประทานได้อย่างอย่างปลอดภัย ดังนั้นควรเลือกซื้อแครอทที่มาจากแหล่งเพาะปลูกที่ปลอดภัย หรือเลือกรับประทานผักผลไม้ให้หลากหลาย และการรับประทานแครอทสีส้มเป็นจำมากเป็นประจำติดต่อกันอาจทำให้สีผิวเปลี่ยนเป็นสีเหลืองได้ (สารตะกั่วมีผลเสียโดยตรงกับระบบประสาท ระบบการทำงานของไต ทางเดินอาหาร เซลล์ไขกระดูก อาการเบื่ออาหาร คลื่นไส้อาเจียน โรคโลหิตจาง ทำให้เซลล์เม็ดเลือดแดงแตกง่าย)
เมนูขนมที่น่าสนใจ by Bread at HÖME
เจแปนนิสชีสเค้ก [JAPANESE CHEESECAKE] ชีสเค้กญี่ปุ่นสูตรอร่อย เนื้อนุ่มฟูเด้ง นุ่มละมุน ละลายในปาก
เค้กเบาๆ ละลายในปากมาแล้วจ้าาาา เจแปนนิสชีสเค้กเป็นเค้กที่อร่อยมากกก ละลายในปากเลย จริงๆแล้วทำไม่ยาก ที่คนรักชีสเค้กต้องห้ามพลาดเลยนร๊าา
ฮอกไกโดมิลด์บัน HOKKAIDO MILK BUN 50฿
Hokkaido Milk Bun ขนมปังแป้งญี่ปุ่น ใช้เนยแท้ นมฮอกไกโดแท้ ไร้สารเสริม ไม่มีไขมันทรานส์ กล่องละ 3 ชิ้น
บราวนี่แครกเกอร์ [BROWNIES CRACKER] บราวนี่รูปแบบใหม่ที่สายช็อกเลิฟเวอร์ ต้องติดใจในความเข้มข้นของรสช็อกโกแลตแบบเต็มๆ กล่องล่ะ 59฿
บราวนี่แครกเกอร์ บราวนี่รูปแบบใหม่ที่คนชอบช็อกโกแลตต้องติดใจในความเข้มข้นของรสช็อกโกแลตแบบเต็มๆ และความกรอบ หวาน อร่อย ทานเพลินชิ้นเดียวไม่เคยพอ
นมสดสตอเบอรรี่ สไตล์เกาหลี 250 ml. 3 ขวด 100฿
สูตรเครื่องดื่ม ใส่นมสดกับซอสสตอเบอรรี่ สไตล์เกาหลี ทั้งหอม หวาน ละมุน มีเนื้อสตอเบอรรี่เต็มคำ กับ 'นมสดสตอเบอรรี่เกาหลี'
บานอฟฟี่พาย กล้วยหอม เนื้อนุ่มละมุน หวานคาราเมล อร่อยฟิน
บานอฟฟี่ พายสไตล์อังกฤษ ถือเป็นอีกหนึ่งเมนูของหวานที่น่าลิ้มลอง ด้วยความหวานจากกล้วย ผสมกับครีมและนมข้นหวานมัน กินคู่กับบิสกิต
เค้กกาแฟมินิ คาราเมลแมคคาเดเมียคอฟฟี่เค้ก 65฿
เค้กเข้มๆหอมๆหวานมันมาแล้วจ้าาา เค้กกาแฟมินิ แต่งหน้าตรงกลางเค้กด้วยถั่วแมคคาดาเมียเคลือบคาราเมลกาแฟ เข้มข้น หวานมัน
เค้กน้ำตาลปั้น ตุ๊กตาน้ำตาลฟองดอง 3 มิติ ปั้นตามแบบที่ต้องการ FONDANT CAKE
เค้กยูนิคอร์น บัตเตอร์ครีมหรือครีมสด หอมนุ่ม ละลายในปาก สามารถเลือกเค้กโมเดลยูนิคอร์น น่ารักๆ ได้
คลาสสิก มินิ ครอฟเฟิล CLASSIC MINI CROFFLE ชิ้นละ 25฿
ครอฟเฟิล (Croffle) สูตรขนมลูกผสมระหว่างครัวซองต์และวาฟเฟิล เมนูขนมอบแนวใหม่ที่กำลังได้รับความนิยมในสายคาเฟ่ บอกเลยว่าทำง่ายมาก ๆ